ทั้งนี้ ทีมชาติเยอรมนีเองก็เป็นชาติที่เข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายได้บ่อยครั้งที่สุด โดยหนนี้นับเป็นครั้งที่ 14 เข้าไปแล้ว รองมาคือทีมชาติสเปนที่เข้ามาได้เป็นครั้งที่ 12 โดยทั้ง 2 ชาติต่างก็คว้าแชมป์ในรายการนี้ได้มากที่สุดที่จำนวน 3 ครั้งเท่ากัน

ทัวร์นาเม้นต์นี้จะใช้เวลาทั้งสิ้น 31 วัน แต่จะมีเพียง 22 วันที่มีการแข่งขัน โดยจะเริ่มต้นขึ้นในคืนวันที่ 14 มิถุนายน และจบลงด้วยนัดชิงชนะเลิศในวันที่ 14 กรกฎาคม รวมแล้วทั้งสิ้น 51 เกม

สนามที่ใช้แข่งขันจะมีด้วยกัน 10 สนามจาก 10 เมืองทั่วประเทศ โดยเกมนัดเปิดสนามจะมีขึ้นที่ อัลลีอันซ์ อารีน่า ในเมืองมิวนิค และปิดท้ายด้วย โอลิมเปียสตาดิโอน ในเมืองเบอร์ลิน

นอกจากนี้ก็จะมี เวสต์ฟาเลนสตาดิโอน ของ ดอร์ทมุนด์, สตุ๊ดการ์ท อารีน่า, แฟรงค์เฟิร์ต อารีน่า, อารีน่า อัฟ ชาร์ลเก้, โฟล์คสพาร์ค สตาดิโอน, ดุสเซลดอล์ฟ อารีน่า, โคโลญจน์ สเตเดี้ยม และ ไลป์ซิก สเตเดี้ยม

จากทั้งหมด 24 ชาติที่ได้เข้ามาร่วมโม่แข้งในปีนี้ มีเพียงชาติเดียวที่ไม่เคยเข้ามาสัมผัสในรอบสุดท้ายได้เลย นั่นก็คือทีมชาติจอร์เจีย ที่เข้ามาด้วยการคว้าตั๋วเพลย์ออฟ โดยเอาชนะทีมชาติกรีซมาได้

ส่วนในรอบแบ่งกลุ่มก็จะแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม โดยที่ 2 อันดับแรกจะได้ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์โดยอัตโนมัติ ส่วนทีมอันดับ 3 ก็ต้องไปลุ้นให้ตัวเองมีผลงานดีที่สุดในบรรดาทีมในอันดับเดียวกันกับกลุ่มที่เหลือ โดยจะได้เข้าไป 4 จาก 6 ทีม

พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วพลางก็นึกย้อนไปในปี 2016 โดยทีมชาติโปรตุเกสเสมอรวดทั้ง 3 เกมในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งเป็นทีมเดียวในบรรดาทีมอันดับ 3 ที่ไม่สามารถคว้าชัยชนะมาได้เลยแม้แต่เกมเดียว แต่ก็ได้หลุดเข้าไปรอบน็อคเอาท์ ก่อนที่จะคว้าแชมป์มาได้ในท้ายที่สุด

ไหน ๆ ก็ไหลมาถึงเรื่องของทัพ ‘ฝอยทอง’ ขอลากไปเรื่อง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ต่อเลยละกัน ซึ่งเขาเตรียมที่จะเป็นนักเตะคนแรกที่ได้โลดแล่นในศึก ยูโร ถึง 6 สมัย ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวเองก็เป็นเจ้าของสถิติเดิม 5 สมัยอยู่แล้วด้วย

นอกจากนี้ ดาวยิงจาก อัล นาสเซอร์ ยังครองสถิติลงเล่นในรอบสุดท้ายมากที่สุดถึง 25 เกม รวมถึงยังเป็นดาวยิงสูงสุดของรายการนี้ด้วยจำนวน 14 ประตูจากการลงเล่น 5 ครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คาดว่าจะเพิ่มทั้งจำนวนเกมและจำนวนประตูได้อีกอย่างแน่นอนในหนนี้

แต่อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ตัวผมเขียนอยู่นี้ ก็ยังไม่ได้มีการประกาศรายชื่อผู้เล่น 26 คนสุดท้ายเลยนะครับ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก็ได้นะ

สำหรับทีมที่น่าจับตามองในทัวร์นาเม้นต์นี้ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมมีทีมชาติอังกฤษอยู่แล้ว ถือว่าเป็นทีมขวัญใจของแฟนบอลชาวไทยหลาย ๆ คน นอกจากนี้ก็จะเป็นทีมชาติฝรั่งเศสและทีมชาติเบลเยียม ที่ไม่แพ้ใครเลยในรอบคัดเลือก รวมถึงม้ามืดอย่างทีมชาติฮังการีเองก็ไม่แพ้ใครเลยกัน และน่าจับตามองอย่างมาก

เจ้าภาพอย่างทีมชาติเยอรมนีเองก็มองข้ามไม่ได้เช่นกัน แม้ว่าจะดูกระท่อนกระแท่น แต่หลังจากที่ ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ เข้ามาทำทีม ก็ดูเหมือนว่าจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ และแชมป์เก่าอย่างทีมชาติอิตาลีเองซ่อนเขี้ยวเล็บไว้อยู่เสมอ

เดี๋ยวอะไรหลาย ๆ อย่างก็น่าจะเห็นกันได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นแล้วแหละครับ โดยเฉพาะหลังจากที่ทุกทีมได้ประกาศรายชื่อผู้เล่น 26 คนออกมา เราก็จะได้รู้กันแล้วว่าหน้าตาของแต่ละทีมจะออกมาในรูปแบบไหน แล้วค่อยมาคุยกันต่อในสัปดาห์หน้าครับ

เขียนโดย The Lite Team.

LS Sport ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชม.